วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

Wi-Power

นักวิจัยเกาหลีคิดค้นเทคโนโลยีจ่ายไฟไร้สาย (Wi-Power) ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทั่วห้อง
หลายคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนบางรุ่นซึ่งรองรับฟังก์ชั่นการชาร์จแบบไร้สาย (wireless charging) แม้จะได้ชื่อว่าชาร์จแบบไร้สายแต่ในความเป็นจริงยังคงต้องพึ่งพาแท่นชาร์จสำหรับแตะหรือวางอุปกรณ์สมาร์ทโฟนไว้บนแท่นในขณะทำการชาร์จ แต่ล่าสุดกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จาก Korea Advanced Institute of Science and Technologyในเกาหลีเผยโฉมระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าไร้สาย (Wi-Power) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนภายในระยะ 15 ฟุต ได้พร้อมๆ กันถึง 40 เครื่อง
เทคโนโลยีดังกล่าวเรียกว่า "Dipole Cois Resonant System (DCRS)" ใช้สนามแม่เหล็กซึ่งมีความสามารถในการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าและจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แลปท๊อป เป็นต้น โดย DCRS เป็นวิวัฒนาการเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกใน MIT เมื่อปี 2007 ซึ่งตอนนั้นเรียกว่าระบบคลื่นสนามแม่เหล็กคู่ "Couple Magnetic Resonance System (CMRS)"
ในส่วนที่แตกต่างกันนั้นนักวิจัยเกาหลีอธิบายว่าพวกเขาประสบความสำเร็จสำหรับก้าวต่อไป การออกแบบของพวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น Chun Rim หัวหน้าทีมวิจัยมีความตั้งใจจะนำพลังงานไร้สายมาใช้อย่างแพร่หลายเฉกเช่นเดียวกับ "Wi-Fi zone" หรือบริเวณสำหรับใช้งาน Wi-Fi ซึ่งนิยมใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งหากเป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ในอนาคตเราจะได้เห็น "Wi-Power zone" ตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ เพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก
จากคลิปตัวอย่างการสาธิตในห้องทดลอง เผยให้เห็นว่าระบบ DCRS สามารถจ่ายไฟแบบไร้สายให้กับ LED TV ขนาดใหญ่ พัดลม 40 วัตต์ จำนวน 3 เครื่อง ภายในระยะ 5 เมตร โดยมีกำลังไฟฟ้าสูงสุด 1400 วัตต์ ที่ระยะ 3 เมตร ซึ่งประสิทธิภาพจะลดลงตามระยะทาง โดยที่ระยะ 5 เมตรสามารถให้กำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 209 วัตต์ 20kHz ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังไฟที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนได้ 40 เครื่องเลยทีเดียว
ณ ตอนนี้ทางผู้วิจัยยังต้องศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นขนาดของพื้นที่ ปริมาณกำลังไฟฟ้า และผลกระทบที่ตามมากับอุปกรณ์นำไฟฟ้าและสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ก่อนจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานในเชิงพาณิชย์ แต่อย่างไรก็ตาม ความหวังเล็กๆ ของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่จะไม่ต้องพกพาแบตเตอรี่สำรองหรือมองหาปลั๊กไฟขณะเดินทางก็ได้ถูกจุดประกายขึ้นแล้วในวันนี้

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

กว่าจะมาเป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือ Nokia

ถ้าจะให้บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์โทรศัพท์มือถือที่มีประวัติอันยาวนานคงต้องมีแบรนด์ Nokia รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งในครั้งนี้จะขอย้อนเวลากลับไปเพื่อบอกเล่าประวัติความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาของแบรนด์ Nokia ว่ากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้นั้นต้องผ่านและพบเจอกับอุปสรรคอะไรกันบ้างจนสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการโทรศัพท์มือถือจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ซึ่งจะมีซักกี่คนที่ทราบว่าโทรศัพท์มือถือแบรนด์ดังอย่าง Nokia นั้นไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจากบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ
 
  • ซึ่งในปี ค.ศ. 1865 บริษัท Nokia ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยวิศวกรนามว่า Fredrik Idestam โรงงานตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อว่า Nokia ในประเทศฟินแลนด์ และบริษัท Nokia นั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ทันที
  • ปี ค.ศ. 1867 เจ้าของบริษัท Nokia ได้คิดค้นนวัตกรรมขึ้นมาเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในงาน Paris Wood Exposition ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งผลปรากฏว่าได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ทำให้ทางบริษัท Nokia มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
  • ปี ค.ศ. 1902 ทางบริษัท Nokia ได้ขยายธุรกิจของตัวเองจากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษไปสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งทาง Nokia นั้นก็ได้เริ่มสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเอง
  • ในปี ค.ศ. 1903 ต่อมาในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 ธุรกิจการส่งออกกระดาษของ Nokia ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันนั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้านกระดาษที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้
  • ปี ค.ศ. 1918 บริษัท Finnish Rubber Works (FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านการผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของ Nokia ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ Nokia หลังจากที่ไม่สามารถรองรับการขาดทุนของธุรกิจได้ จนต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท FRW ต่อจากนั้นมา
  • ปี ค.ศ. 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านสายเคเบิล และสายโทรศัพท์ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Nokia จากความสนใจของ บริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกันแต่ Nokia ก็ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท เช่น กระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้ายาง, ยางรถยนต์) และสายเคเบิล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของ Nokia อีกด้วย
  • ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ทาง Nokia เริ่มขยายธุรกิจของตัวเองอีกครั้งด้วยการก่อตั้งแผนกอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ซึ่งหลังจากการก่อตั้งในครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของ Nokia ในอนาคตอีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 1979 ทาง Nokia ได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการธุรกิจสื่อสารด้วยการก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Mobira ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง Nokia และบริษัทผู้ผลิตทีวีชั้นนำในยุคนั้นอย่าง Salora
LOGO Nokia
  • ปี ค.ศ. 1981 เป็นจุดเริ่มต้นของทาง Nokia อย่างแท้จริงด้วยการเปิดตัวระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่มีชื่อว่า Nordic Mobile Telephone (NMT) ซึ่งถือว่าเป็นระบบโทรศัพท์ในยุคของ 1G (first-generation) บนย่านความถี่ 450MHz
  • ปี ค.ศ. 1982 ทาง Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ตัวแรกที่นำมาประยุกต์ใช้บนรถยนต์ในชื่อรุ่น Mobira Senator และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังได้เปิดตัว Nokia DX200 ชุมสายโทรศัพท์แบบดิจิตอลและเป็นบริษัทแรกที่เริ่มต้นใช้อีกด้วย
 
  • ปี ค.ศ. 1984 ทาง Nokia ยังคงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และได้เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นำมาประยุกต์ใช้บนรถยนต์รุ่นใหม่ในชื่อรุ่น Mobira Talkman
  • ปี ค.ศ. 1987 Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่น Mobira Cityman ที่ชูจุดเด่นด้วยขนาดที่เล็กลงเป็นอย่างมาก จนสามารถถือได้ด้วยมือเดียว และมีน้ำหนักเพียง 800 กรัม ซึ่งมีราคาในการวางจำหน่ายขณะนั้นที่ 180,200 บาท (£3,400)
  • ปี ค.ศ. 1991 นายกรัฐมนตรีประเทศฟินแลนด์ นามว่า "Harri Holkeri" ได้มีนโยบายให้สร้างมาตรฐานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือขึ้น ซึ่งเรารู้จักกันดีในชื่อ GSM ที่ย่อมาจาก Global System for Mobile Communications โดยระบบดังกล่าวถูกสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ของบริษัท Nokia อีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 1992 ทาง Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่รองรับคลื่น GSM ในชื่อรุ่น Nokia 1011 โดยประธานบริหารของ Nokia ในขณะนั้นอย่าง Jorma Ollila ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "เขาจะมุ่งเน้นพัฒนาโทรศัพท์มือถือและระบบการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นอีกเพื่ออนาคตอีกด้วย"
  • ปี ค.ศ. 1994 ทาง Nokia ยังได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือซีรีย์ 2100 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมเสียงริงโทน Nokia Tune อีกทั้ง Nokia ยังตั้งเป้ายอดจำหน่ายของรุ่นนี้ไว้ที่ 400,000 เครื่องทั่วโลก แต่วางจำหน่ายจริงสามารถทำยอดขายได้มากถึง 20 ล้านเครื่องทั่วโลกอีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 1998 ทาง Nokia ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำระดับโลกในตลาดโทรศัพท์มือถือ
  • ปี ค.ศ. 1999 Nokia ยังคงแสดงความเป็นผู้นำอยู่เช่นเดิม ด้วยการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่น Nokia 7110 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับคุณสมบัติการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ โดยการรองรับเทคโนโลยี Wireless Application Protocol (WAP)
  • ปี ค.ศ. 2000 Nokia ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดโทรศัพท์มือถือด้วยการเปิดตัว Nokia 3310 ซึ่งถือเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งด้วยยอดขาย 126 ล้านเครื่องทั่วโลกอีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 2001 Nokia ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกล้องถ่ายรูป ในชื่อรุ่น Nokia 7650 ที่มีระบบปฏิบัติการ Symbian OS อีกด้วย และรุ่นดังกล่าวได้ถูกนำไปโปรโมทบนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างเรื่อง Minority Report
  • ปี ค.ศ. 2002 Nokia ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รองรับการบันทึกวิดีโอได้ ในชื่อรุ่น Nokia 3650 และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่สามารถรองรับเทคโนโลยี 3G ในชื่อรุ่น Nokia 6650 เพื่อการใช้งานด้านความบันเทิงที่ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • ปี ค.ศ. 2003 Nokia ได้สร้างปรากฏการณ์บนโลกโทรศัพท์มือถืออีกครั้งด้วยการเปิดตัว Nokia N-GAGE ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Symbian 6.1 ที่รองรับการเล่นเกมส์เต็มรูปแบบ พร้อมด้วยฟังก์ชั่นด้านความบันเทิงที่ครบครัน
  • ปี ค.ศ. 2004 Nokia ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์มือถือด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 35% แต่ทาง Nokia ยังคงพอใจแม้ว่าจะตั้งเป้าไว้ที่ 40% ก็ตาม
  • ปี ค.ศ. 2005 Nokia สามารถจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ รุ่น Nokia 1100 ในประเทศไนจีเรียได้มากถึงหลักพันล้านเครื่อง และสามารถทำยอดจำหน่ายทั่วโลกแตะหลักสองพันล้านเครื่องด้วยเช่นกัน
  • ปี ค.ศ. 2007 ทาง Nokia ได้เรียกคืนโทรศัพท์กว่า 46 ล้านเครื่องเนื่องจากพบว่าแบตเตอรี่อาจจะมีข้อผิดพลาด ซึ่งจังหวะนั้นคู่แข่งอย่าง Apple ได้ออกมาเปิดตัว iPhone พอดิบพอดี
  • ปี ค.ศ. 2008 ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของ Nokia ทำได้ลดลง เนื่องจากในปีดังกล่าวในช่วงไตรมาสที่ 3 ทาง Nokia ทำได้เพียง 30% ซึ่งคิดเป็น 3.1% ของไตรมาสนี้ แต่ในขณะเดียวกันยอดจำหน่าย Apple iPhone มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 327.5% อีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 2009 Nokia ได้ประกาศปลดพนักงานจำนวน 1,700 อัตราทั่วโลกเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องมาจากยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบกว่าทศวรรษอีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 2010 ได้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่าง iPhone และ Android ทำให้อนาคตของบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia เริ่มสั่นคลอน โดยทาง Nokia ได้แต่งตั้งอดีต CEO ของทาง Microsoft นามว่า Stephen Elop เพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัท Nokia อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ดีทาง Nokia ยังคงมีแผนปลดพนักงานจำนวน 1,800 อัตรา แม้ว่าผลกำไรจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
  • ปี ค.ศ. 2011 Stephen Elop ได้กล่าวเตือนพนักงานด้วยประโยคที่ว่า "พวกเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสงครามของแพลตฟอร์ม" และหลังจากนั้นทาง Nokia ได้ประกาศร่วมมือกับทาง Microsoft เพื่อเข้าชิงชัยสงครามแพลตฟอร์มกับทาง Apple และ Google Android อีกด้วย ต่อมาทาง Nokia ยังคงมีแผนปลดพนักงานอีกราว 4,000 อัตรา จากพนักงานทั่วโลกที่มีทั้งหมด 65,000 คน เนื่องจากตลาดของสมาร์ทโฟนถูกครอบงำโดย Samsung และ Apple ทำให้ยอดจำหน่ายของ Nokia ลดลงเป็นอย่างมาก
  • ปี ค.ศ. 2012 ทาง Nokia ได้ปลดพนักงานอีกราว 4,000 อัตรา และย้ายโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนไปยังฝั่งเอเชีย และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังประกาศปิดโรงงานผลิตในประเทศฟินแลนด์อีกด้วย
  • ปี ค.ศ. 2013 Nokia ได้กลับมามีผลกำไรเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดชะงักมานานถึง 18 เดือน และต่อมาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งทาง Microsoft ประกาศเข้าซื้อส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ Nokia ด้วยมูลค่าสูงถึง 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • และปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นปีของ Nokia ด้วยเช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงในตระกูล Lumia ไปแล้วมากมายหลายรุ่น และยังมีฟีเจอร์โฟนตระกูล Asha รวมถึงล่าสุดทาง Nokia ยังได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีย์ใหม่ที่รันบนระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform และในอนาคตทาง Nokia จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกบ้างหรือจะมีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มาเขย่าวงการอีกหรือไม่ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย
Cr.

ทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ G, H+, E, 3G และ LTE


     ทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ G, H+, E, 3G และ LTE บนแถบแจ้งเตือนของสมาร์ทโฟน
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android, iOS หรือ Windows Phone ก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่คุณเห็นแบบเดียวกันที่มุมขวาบนของหน้าจอ คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งบางครั้งก็ขึ้นเป็นตัว E บางครั้งเป็น 3G บางครั้งก็ขึ้นเป็นตัว H
ตัวอักษรเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงตัวอักษรธรรมดา โดยแต่ละตัวสามารถบอกได้ว่าเครือข่ายไร้สายที่คุณกำลังเชื่อมต่ออยู่ในขณะนั้นเป็นชนิดใด ซึ่งแต่ละแบบมีความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกันมาก มาดูกันว่ามีสัญลักษณ์แต่ละตัวหมายถึงอะไร
"LTE" - Long Term Evolution (4G)
     เมื่อขึ้นสัญลักษณ์ LTE หมายถึงในขณะนั้นผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงในระดับ 4G ซึ่งในทางทฤษฎีมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 100Mb/s การเชื่อมต่อ 4G LTE ช่วยให้สามารถดาวน์โหลดวิดีโอสตรีมมิ่งที่มีความละเอียดสูงระดับ HD ได้อย่างรวดเร็ว แต่ 4G LTE ในประเทศไทยล่าสุด (เมษายน 2014) มีผู้ให้บริการเครือข่ายเพียงบางเจ้าเท่านั้นที่พร้อมให้บริการและยังมีพื้นที่ใช้งาน 4G LTE บางแห่งเท่านั้นในกรุงเทพฯ
     แอลทีอี (LTE - Long Term Evolution) เป็นชื่อโครงการของระบบสื่อสารโทรศัพท์มือถือ 4G โดยมีเป้าหมายในการออกแบบให้สามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากขึ้นและเร็วขึ้น แอลทีอีได้มีการเปิดตัวในชื่อโทรศัพท์มือถือ 4G LTE โดยเทเลียโซเนรา ในสตอกโฮล์ม และ ออสโล ในวันที่ 14 ธันวาคม 2552 โดยพัฒนาเพิ่มเติมจากระบบยูเอ็มทีเอส ของระบบ 3G
4G LTE มีความสามารถดาวโหลดได้สูงถึง 100Mbps ความเร็วอับโหลด 50Mbps และปิงต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที โดยมีแบนด์วิทธ์อยู่ในช่วงระหว่างช่วง 1.4 เมกกะเฮิร์ตถึง 20 เมกกระเฮิร์ต
ในวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ทาง European Commission ได้ประกาศลงทุนเป็นจำนวนเงิน 18 ล้านยูโรในงานวิจัยและพัฒนา LTE Advanced.
วันที่ 1 มกราคม 2556 กสทช.ประกาศ เริ่มต้นเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ 4G หลังจาก กสทช.ได้ประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2100MHz เรียบร้อยแล้ว และผู้ประกอบการกำลังดำเนินการติดตั้งให้ใช้งานได้ตามเงื่อนไขใบอนุญาต เดือนกันยายน 2556 หลังจากคลื่นความถี่ 1800 MHz ของ DPC (800), DTAC (1800) และ Truemove (1800) ของ CAT หมดสัญญาสัมปทานลง กสทช. ยังไม่แน่ว่าจะได้รับความถี่คืนจาก CAT หรือไม่ หากได้ความถี่คืนจาก CAT จะสามารถนำมาจัดสรรคลื่นความถี่ 4G LTE ซึ่งคาดว่าจะออกใบอนุญาตได้ ภายในสิ้นปี 2556
                          File:3GPP Long Term Evolution Country Map.svg
  ประเทศที่มีบริการ LTE เชิงพาณิชย์
  ประเทศที่มีการใช้งานเครือข่าย LTE เชิงพาณิชย์ที่กำลังวางแผน
  ประเทศที่มีระบบการพิจารณาคดี LTE (ก่อนมุ่งมั่น)



"H+" - HSDPA Plus
     HSDPA Plus เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 21Mb/s สัญลักษณ์ดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นที่รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สาย 3G HSDPA+ (ยกเว้นในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.4 KitKat จะแสดงเพียงสัญลักษณ์ "H" เท่านั้น แต่ถ้ารองรับ HSDPA+ และอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณไปถึงก็ใช้งานได้ตามปกติ)
     HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) เป็นระบบเครือข่ายมือถือระบบ UMTS ซึ่งเป็นเครือข่ายมือถือรุ่นที่สาม (3G) ที่ถูกปรับปรุงสมรรถนะให้ดีขึ้น สำหรับตระกูล High-Speed Packet Access (HSPA) เช่น 3.5G, 3G+ or turbo 3G. HSDPA พัฒนาความเร็วในการดาวน์โหลด รองรับความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลถึง 1.8 เมกะบิตต่อวินาที, 3.6 เมกะบิตต่อวินาที, 7.2 เมกะบิตต่อวินาที และ 14.4 เมกะบิตต่อวินาที HSDPA มีความเร็วของการสื่อสารสูงกว่า EDGE ถึง 36 เท่า หรือเร็วกว่า GPRS ถึง 100 เท่า ความเร็วขนาดนี้ทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ เมื่อปี 2013 HSDPA สามารถเพิ่มความเร็วการดาวน์โหลดได้สูงถึง 42.3 Mbit/s
HSDPA ไม่ได้พัฒนาในส่วนของความเร็วการอัปโหลด การปรับปรุงความเร็วการอัปโหลดของ UMTS จะอยู่ในระบบ HSUPA เมื่อรวมความสามารถของ HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกัน จะเรียกโดยรวมว่า HSPA ซึ่ง HSPA+ เพิ่มความเร็วขึนไปถึง 337.5 Mbit/s ที่ Release 11 ของมาตรฐาน 3GPP

"H" - HSDPA (High Speed Downlink Packet Access)
HSDPA เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G รุ่นก่อนหน้าของ HSDPA+ โดยมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุด 7.2Mb/s ซึ่ง HSDPA ถูกนำไปใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการดาวน์โหลดวิดีโอสตรีมมิ่งความละเอียดสูงระดับ HD แต่อย่างไรก็ตามที่ความเร็วระดับนี้สามารถท่องเว็บไซต์และฟังเพลงสตรีมมิ่งได้เป็นอย่างดี

"3G" 3rd Generation (บางครั้งเรียกว่า UMTS)
3G เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล 2Mb/s ซึ่งเป็นความเร็วที่เพียงพอสำหรับใช้งานวิดีโอคอลล์ และเป็นความเร็วที่ยังสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและอีเมล์ได้
"E" - EDGE (Enhanced Data Rates for GSM Evolution)
EDGE คือเครือข่ายไร้สาย 2.75G ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสุดสุด 384 kb/s มีความเร็วน้อยกว่า 3G และยังอยู่ในโครงข่าย GSM (2G) ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในยุคแรกๆ ที่มือถือสามารถใช้งาน Mobile Internet ได้ ปัจจุบัน EDGE ก็ยังเปิดใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณ 3G ส่งไปไม่ถึงหรือติดเงื่อนไข-ข้อจำกัดของผู้ให้บริการ
"G" - GPRS (General Packet Radio Service)
GPRS เป็นเครือข่ายไร้สาย 2.5G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุด 115kb/s ซึ่งเพียงพอสำหรับการดาวน์โหลดหน้าเว็บไซต์ที่ไม่มีรายละเอียดเยอะมากนัก เช่น ตารางเวลาการเดินรถไฟ (การดาวน์โหลดผ่าน GPRS จะค่อนข้างช้าและใช้เวลานาน) GPRS ถือเป็นเครือข่ายไร้สายที่ให้บริการด้านข้อมูล (Mobile Internet) ที่เก่าแก่ที่สุด
ตารางสรุปสัญลักษณ์และความหมาย
สรุปง่ายๆ "LTE เร็วสุด โดยมี H+ รองลงมา และ G ช้าที่สุด"


Cr.


ทำความรู้จักหน้าจอทีวีระดับ 4K


 ทำความรู้จักมาตรฐานใหม่ของความละเอียดหน้าจอทีวีระดับ 4K Ultra HD
     ในปัจจุบันคอนเทนต์ด้านมัลติมีเดียเริ่มมีความละเอียดที่สูงมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือรายการทีวี ซึ่งในปัจจุบันที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือความละเอียดระดับ Full HD 1080p แต่ล่าสุดนั้นความละเอียดของหน้าจอทีวีได้พัฒนาไปถึงระดับความละเอียดที่เรียกว่า 4k หรือ Ultra HD ที่มีความละเอียดมากกว่า Full HD ถึง 4 เท่านั่นเอง
โดยความละเอียดหน้าจอทีวีระดับ 4K ที่เป็นมาตรฐานใหม่นี้จะถูกเรียกในหลายชื่อทั้ง Ultra HD, UHD หรือ UHDTV ก็ได้เช่นกัน ซึ่งความละเอียดดังกล่าวนี้จะสามารถแสดงผลภาพในแนวนอนได้มากถึง 4000 พิกเซลเลยทีเดียว อีกทั้งความละเอียดที่แท้จริงของหน้าจอทีวีระดับ 4K Ultra HD นั้นจะอยู่ที่ 3840 x 2160 พิกเซล ทำให้สามารถแสดงผลภาพรวมออกมาได้สูงประมาณ 8.3 ล้านพิกเซล ในอัตราส่วนภาพ 16:9 อีกด้วย
และในอนาคตอันใกล้นี้จะมีความละเอียดหน้าจอทีวีระดับ 8K ความละเอียด 7680 × 4320 พิกเซล ที่แสดงผลภาพรวมได้สูงมากถึง 33.2 ล้านพิกเซล ออกมาให้ได้เห็นกันอย่างแน่นอนอีกด้วย ถ้านำมาเปรียบเทียบกับความละเอียดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอย่างความละเอียด 1080p ทำให้ความละเอียดระดับ 4K นั้นสามารถทำความละเอียดภาพในแนวตั้งและแนวนอนได้สูงกว่าความละเอียด 1080p ถึงสองเท่าด้วยนั่นเอง ทำให้การรับชมภาพยนตร์ได้ภาพที่คมชัดมากยิ่งขึ้น รวมถึงประโยชน์ของภาพความละเอียดระดับ 4K นั้นยังทำให้มีการพัฒนาระบบทีวีให้เป็นดิจิตอลและพัฒนาโรงภาพยนตร์ให้สามารถรองรับภาพความละเอียดระดับ 4K อีกด้วย
ทีวีความละเอียด 4K Ultra HD นั้นถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการทีวีทำให้ย่อมมีราคาจำหน่ายที่แพงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ล่าสุดภายในงาน CES 2014 ที่ผ่านมานั้นได้มีการเปิดตัวทีวีความละเอียด 4K Ultra HD แบรนด์ Vizio และแบรนด์ Polaroid ที่ตั้งราคาในการวางจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 32,000 บาท ($1,000) เท่านั้น
อีกทั้งในปัจจุบันเว็บไซต์แชร์วีดีโอยอดนิยมอย่าง Youtube ยังสามารถรองรับความละเอียด 4K Ultra HD ได้แล้ว ซึ่งผู้ใช้สามารถอัปโหลดวิดีโอความละเอียดได้สูงสุดที่ 4096 x 3072 พิกเซล หรือ 12.6 ล้านพิกเซล ด้วยอัตราส่วนภาพ 4:3
ซึ่งแนวโน้มของทีวีความละเอียด 4K Ultra HD ในอนาคตนั้นจะต้องมีขนาดหน้าจออย่างน้อย 55 นิ้ว ขึ้นไปเพื่อให้สามารถแสดงรายละเอียดของภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนพอร์ตในการเชื่อมต่อนั้นยังคงใช้พอร์ต HDMI 1.4 และ 2.0 ได้เช่นเดิม อีกทั้งพอร์ต HDMI 2.0 นั้นสามารถรองรับความละเอียด 4K Ultra HD ได้ที่ 50-60 เฟรมต่อวินาทีอีกด้วย คงต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตว่าทีวีจะสามารถพัฒนาให้สามารถถ่ายทอดภาพให้มีความละเอียดที่สูงขึ้นกว่านี้ได้อีกหรือไม่ เพื่อการรับชมให้ได้เต็มอรรถรสเพิ่มขึ้นอีกด้วยนั่นเอง




Cr.

รู้หรือไม่? มือถือถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อไร?

รู้หรือไม่?  มือถือถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อไร? รวมเหตุการณ์น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของมือถือ
กว่าสี่ทศวรรษที่ผ่านมาโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายชนิดที่ใครจะไปคาดคิดว่าโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดเครื่องใหญ่เท่ากระเป๋านักธุรกิจจะกลายมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาใส่กระเป๋าติดตัวได้แบบในปัจจุบัน และในช่วงวันเวลาที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวกับมือถือซึ่งทำให้รู้สึก "ว้าว" กันมาแล้วบ้างลองมาชมกัน
Infographic แสดงประวัติศาสตร์ของมือถือที่น่าสนใจนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 (คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดเต็ม)
สรุปข้อมูลจาก Infographic
ค.ศ. 1973 - มือถือเครื่องแรกของโลก (Motorola DynaTAC) ถูกสร้างขึ้นโดยมีน้ำหนักราวๆ 0.9 กิโลกรัม
ค.ศ. 1982 - รถยนต์โทรศัพท์ได้ปรากฏครั้งแรกในทีวี
ค.ศ. 1989 - Zack Morris ดารานักแสดงวัยรุ่นแนะนำมือถือให้กับเหล่าวัยรุ่นผ่านสื่อทีวี
ค.ศ. 1992 - ข้อความ SMS ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1994 - ตัวต่อ tetris เป็นเกมส์แรกที่นำมาเล่นผ่านมือถือ
ค.ศ. 1997 - ระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payments) ถูกแนะนำครั้งแรกผ่านสื่อโฆษณาที่นักแสดงกำลังซื้อโค้กผ่านมือถือ
ค.ศ. 2004 - Wi-Fi ถูกนำมาใช้งานบนมือถือเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 2005 - ระบบชำระเงินผ่านมือถือต้องเผชิญกับวิกฤตเมื่อ Paris Hilton นักแสดงชื่อดังพบว่าเธอถูกแฮกข้อมูลบนมือถือ
ค.ศ. 2008 - ร้านค้า Apple App Store เปิดตัวครั้งแรกเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอุปกรณ์มือถือได้สะดวกขึ้น
ค.ศ. 2009 - ระบบจำลองภาพเสมือนจริง (Augmented Reality) ถูกนำมาใช้บนมือถือครั้งแรก
ค.ศ. 2009 - WebEx หรือแอพพลิเคชั่นสำหรับประชุมออนไลน์ทางเว็บบน iPhone เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 6 มกราคม
ค.ศ. 2009 - การใช้งานข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สาย (Mobile Data) มีปริมาณมากกว่าการโทรผ่านมือถือ (Voice) เป็นครั้งแรกในปีนี้ และในปีเดียวกันผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั่วโลกสามารถทำกำไรรวมกันได้เกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 2011 - Alec Baldwin ดารานักแสดงชื่อดังถูกไล่ลงจากเครื่องบินเนื่องจากไม่หยุดเล่นเกมส์มือถือบนเครื่องบิน
ค.ศ. 2012 - โป๊ป หรือ พระสันตะปาปาทวีตข้อความจากเครื่อง iPad
ค.ศ. 2012 - หน้าเว็บไซต์ของ NBC ที่เกี่ยวกับโอลิมปิกถูกเข้าชมผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือจำนวน 2 ล้านเพจวิว
การเริ่มต้นหน้าประวัติศาสตร์ของมือถือ, 1973
Martin Cooper เปลี่ยนโลกไปนี้ด้วยการสื่อสารไร้สายที่ช่วยให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่ถูกเปิดตัวออกมาเมื่อ 40 ปีก่อน ด้วยน้ำมือของอดีตรองประธานและผู้จัดการแผนกโทรศัพท์ Motorola ผู้ซึ่งประดิษฐ์ DynaTAC phone มือถือเครื่องแรกของโลก ภาพด้านล่างเขากำลังอยู่ด้านหน้าของโรงแรม New York Hilton ที่อเมริกา โดยเขาคือผู้เริ่มต้นหน้าแรกของประวัติศาสตร์มือถือด้วยการโทรหาหัวหน้าฝ่ายวิจัยที่ Bell Labs ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถูกใช้งานเพื่อสร้างมือถือเครื่องแรกของโลก การโทรของ Cooper ในครั้งนั้นได้มากกว่าเพียงเสียงตอบรับจากปลายสาย แต่มันหมายถึงการเปิดประตูสู่โลกแห่งมือถืออย่างแท้จริงซึ่งมีผลกระทบต่อทุกแง่มุมการใช้ชีวิตของผู้คนในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวต่อมาหลังจากนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปอาจจะฟังดูเป็นเรื่องตลก เช่น DynaTAC มือถือที่มีขนาดใหญ่อันมือชื่อเสียงได้ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านรายการซิตคอมโทรทัศน์โดย Zack Morris ในรายการ "Saved by the Bell" ซึ่งผู้คนในเวลานั้นมีความคิดเห็นเกี่ยวกับอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่า "เป็นสมาร์ทโฟนหรือโทรศัพท์มือถือไฮเทคที่มีขนาดเล็กมาก" ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารไร้สายและช่วยให้โทรหากันได้อย่างทันใจ แม้ว่าในเวลานั้นจะมีผู้คนไม่กี่กลุ่มที่ได้ใช้งานมือถือเนื่องจากมีราคาแพง

Cell phone, 1985
นานมาแล้วโทรศัพท์มือถือถูกใช้งานเพียงเพื่อโทรหากัน โดยมีขนาดตัวเครื่องใหญ่กว่าหนังสือหนึ่งเล่มและมีน้ำหนักมากกว่าอิฐหนึ่งก้อน การใช้งานส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในกรณีฉุกเฉิน สี่สิบปีต่อมาโทรศัพท์มือถือเป็นมากกว่านั้น ไม่ใช่การกล่าวอ้างจนเกินไปที่จะพูดว่ามือถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราและเป็นสิ่งที่มีค่าในโลกที่มีข้อมูลอันมหาศาลถูกบันทึกไว้ ภาพด้านล่างคือ Chris Brasher ผู้ร่วมก่อตั้งกีฬามาราธอนในลอนดอนพูดโทรศัพท์มือถือขณะอยู่ในสนามแข่งขัน
Brick phones, 1988
Franck Piccard นักสกีชาวฝรั่งเศสพูดโทรศัพท์มือถือที่มีตัวเครื่องขนาดใหญ่ของเขาหลังจากชนะการแข่งขัน Mens Super G Salomon event ในปี 1988 ที่โอลิมปิกฤดูหนาวใน Calgary, Canada โดยเขาได้เหรียญทองด้วยเวลารวม 1:39.66 นาที
Hey, Mom! I won!, 1995
Michael Tritscher (Austria) และ Alberto Tomba (Italy) สองนักสกีขณะกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับทางบ้านเพื่อกล่าวถึงรางวัลที่พวกเขาคว้ามาสำเร็จเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 1995 ในการแข่งขัน Men's World Cup Slalom ที่ Beaver Creek, Colorado โดย Tritscher เข้าเส้นชัยเป็นลำดับแรกและ Tomba เข้ามาเป็นลำดับที่สาม
Personal Handy-Phone System, 1997
Michiko Matsuo จาก Kyocera Corp. โชว์อุปกรณ์ใหม่ของทางบริษัท "Personal Handy-Phone System (PHS)" ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีจอแสดงผลรุ่นแรกๆ โดยเป็นที่รู้จักในชื่อของ "DataScope DS-110"
เครื่อง DataScope มีชิปคอมพิวเตอร์ของ IBM (ChipCard) ถูกติดตั้งไว้ภายใน มีน้ำหนักรวม 175 กรัม สามารถเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โอนถ่ายข้อมูลและใช้งานโมเด็มไร้สายโดยการเสียบการ์ดเข้าไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสล็อต PCMCIA type II โดย Kyocera นำเครื่อง DataScope ไปเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 1997 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 50,000 เยน (13,220 บาท)
AT&T and TCI merge, 1998
Michael Armstrong (ซ้าย) ประธานและซีอีโอของ AT&T ถือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ขณะที่กำลังอธิบายการให้บริการโทรศัพท์ของ AT&T ในงานประชุมที่ New York เมื่อเดือนมิถุนายน 1998 โดยบุคคลที่อยู่ในภาพอีกคนคือ John Malone ประธานกรรมการและซีอีโอของ Tele-Communications Inc (TCI) ซึ่งในช่วงเวลานั้นทั้งสองได้ออกมาประกาศการควบรวมกิจการโดยมีมูลค่าการซื้อขายครั้งนี้ประมาณ 48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทั้งสองบริษัทต้องการรวมบริการแบบครบวงจรให้กับลูกค้าผู้ใช้งานโทรศัพท์ เคเบิ้ลทีวีและอินเทอร์เน็ต
This is Castro speaking, 1998
Fidel Castro ประธานาธิบดีของคิวบาพูดใส่โทรศัพท์มือถือก่อนที่เซสชั่นที่สองของการประชุมลับสุดยอด VIII Ibero American Summit จะเริ่มต้นขึ้นใน Alfandega press center เมื่อวันที่ 18 เดือนตุลาคม 1998 ใน Porto, Portugal
Call from the desert, 1999
Denis Minor ชนเผ่า Papunya Aborigine ใน Australia โทรหาพี่ชายของเขาที่อยู่ในทะเลทราย Tanami ทางตอนเหนือของประเทศโดยใช้มือถือจากบริเวณถิ่นฐานของชนพื้นเมืองที่ Alice Sprints ใน Central Australia เมื่อเดือนมกราคม 1999
"Locatio," GPS and camera, 1999
ในปี 1999 Seiko Epson Corporation ใน Tokyo ได้เปิดตัว "Locatio" อุปกรณ์ที่รวมฟังก์ชั่นการทำงานของ GPS มือถือและกล้องถ่ายรูปเข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
GSM phase 2+ and GSM Pro system, 1999
R250 PRO dual-band phone เป็นมือถือเครื่องแรกที่รองรับเทคโนโลยี GSM phase2+ และ GSM Pro system ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานรวมข้อดีของโทรศัพท์มือถือ GSM กับฟังก์ชั่นวิทยุสื่อสารเฉพาะกลุ่ม (Private Mobile Radio : PMR) หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือ "วอ.. ทราบแล้วเปลี่ยน" เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเจ้า R250 PRO ถูกเรียกในวงการมือถือว่าเป็น "เครื่องมือทำงานที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสื่อสารกลางแจ้งในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย" โดยมีการออกแบบที่ทนทานแข็งแรง กรอบวัสดุแมกนีเซียม
Growth in China, 1999
ในกรุงปักกิ่ง ผู้หญิงสองคนกำลังทำงานโปรโมทโทรศัพท์มือถือของ Nokia ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งในช่วงปี 1999 จีนมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือจำนวนกว่า 23 ล้านเลขหมาย และในปี 2012 มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือกว่า 1 พันล้านคน
Millennium Multimedia Phone IMT- 2000, 1999
Samsung Electronics เปิดตัวอุปกรณ์มือถือที่รองรับการใช้งานมัลติมีเดีย IMT-2000 ที่งานนิทรรศการ Telecom 99 และ Interactive 99 ใน Geneva, Switzerland เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1999
A 'Net gain, 2000
Nigel Rundstrom รองประธานฝ่ายอุปกรณ์สื่อสารไร้สายของ Nokia ในประเทศญี่ปุ่นเผยโฉมหน้าของมือถือ รุ่นใหม่ DoCoMo Nokia NM502i ในกรุงโตเกียว เมื่อ 2 มีนาคม 2000
The web, from anywhere, 2000
Rosalie Chong เจ้าหน้าที่การตลาดของ Sony Personel IT เผยโฉม CMD-Z18 อุปกรณ์มือถือที่รองรับ WAP (wireless application protocal) และ Web (.html standard) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2000 ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถท่องโลกออนไลน์ได้จากทุกที่ในโลก
Multimedia Messaging Service (MMS), 2002
Nokia เปิดตัว Nokia 6610 มือถือที่มาพร้อมฟังก์ชั่นส่งข้อความมัลติมีเดีย (Multimedia Messaging Service : MMS) ที่งาน Nokia Connection 2012 ในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2002 โดยมือถือ Nokia 6610 สามารถส่งรูปถ่ายดิจิตอลผ่านทาง GPRS ได้
Nokia 3650 video mobile phone, 2002
วันที่ 6 กันยายน 2002 ใน Marseille, France นาย Juha Putkiranta รองประธานของ Nokia Image Service ประเทศฟินแลนด์โชว์โทรศัพท์รุ่นใหม่ Nokia 3650 (ซ้าย) ซึ่งรองรับการใช้งานวิดีโอ พร้อมกับมือถือรุ่นใหม่ Nokia 3510i (ขวา)
Call from the end zone, 2003
Joe Horn ผู้เล่นอเมริกันฟุตบอลของทีม New Orleans Saints กำลังใช้โทรศัพท์มือถือจาก end zone หลังจากทำทัชดาวน์เอาชนะคู่ต่อสู้อย่าง New York Giants เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2003 ในสนาม Superdome ที่ New orleans, louisiana, USA
Old World meets new, 2003
การใช้งานมือถือแพร่หลายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกในช่วงต้นของศตรวรรษที่ 20 โดยมีการใช้งานมากในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ กำลังเข้ามาแทนที่อารยธรรมโบราณ จากรูปชาวอิหร่านกำลังพูดโทรศัพท์มือถือท่ามกลางซากปรักหักพังของป้อมปราการโบราณทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Bam ในวันที่ 28 ธันวาคม 2003
A 1.3 megapixel digital camera, 2004
Sony Ericsson S700 โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกล้อง 1.3 ล้านพิกเซลถูกนำมาแสดงที่งาน CeBIT technology trade fair ในวันที่ 18 มีนาคม 2004 Hanover, Germany โทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ยังมีพอร์ตเชื่อมต่อกับหน่วยความจำสำหรับการโอนภาพถ่ายไปยังคอมพิวเตอร์
A phone or a PC?, Now and Future ....
วันนี้โทรศัพท์มือถือของเราเป็นเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล นับตั้งแต่ iPhoneเปิดตัวออกมาครั้งแรกในปี 2007 จนถึงปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้กลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเรียบร้อยแล้ว
อะไรจะเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าเรายังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการคาดว่าภายในปี 2017 จะมีอุปกรณ์มือถือพกพากว่า 1 หมื่นล้านเครื่องทั่วโลก และจะมีการใช้ปริมาณข้อมูลเครือข่ายไร้สาย 66% ไปกับการชมคลิปวิดีโอบนมือถือเพียงอย่างเดียว ลองคิดกันดูว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับมือถือที่ทำให้ "ว้าว" และกลายเป็นประเด็นที่ผู้คนพูดถึงในอนาคต...

Cr.