![]() |
|
วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557
Wi-Power
วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557
กว่าจะมาเป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือ Nokia
ถ้าจะให้บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์โทรศัพท์มือถือที่มีประวัติอันยาวนานคงต้องมีแบรนด์ Nokia รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งในครั้งนี้จะขอย้อนเวลากลับไปเพื่อบอกเล่าประวัติความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาของแบรนด์ Nokia ว่ากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้นั้นต้องผ่านและพบเจอกับอุปสรรคอะไรกันบ้างจนสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการโทรศัพท์มือถือจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ซึ่งจะมีซักกี่คนที่ทราบว่าโทรศัพท์มือถือแบรนด์ดังอย่าง Nokia นั้นไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจากบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ

- ซึ่งในปี ค.ศ. 1865 บริษัท Nokia ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยวิศวกรนามว่า Fredrik Idestam โรงงานตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อว่า Nokia ในประเทศฟินแลนด์ และบริษัท Nokia นั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ทันที

- ปี ค.ศ. 1867 เจ้าของบริษัท Nokia ได้คิดค้นนวัตกรรมขึ้นมาเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในงาน Paris Wood Exposition ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งผลปรากฏว่าได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ทำให้ทางบริษัท Nokia มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

- ปี ค.ศ. 1902 ทางบริษัท Nokia ได้ขยายธุรกิจของตัวเองจากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษไปสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งทาง Nokia นั้นก็ได้เริ่มสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเอง
- ในปี ค.ศ. 1903 ต่อมาในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 ธุรกิจการส่งออกกระดาษของ Nokia ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันนั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้านกระดาษที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้
- ปี ค.ศ. 1918 บริษัท Finnish Rubber Works (FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านการผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของ Nokia ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ Nokia หลังจากที่ไม่สามารถรองรับการขาดทุนของธุรกิจได้ จนต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท FRW ต่อจากนั้นมา

- ปี ค.ศ. 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านสายเคเบิล และสายโทรศัพท์ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Nokia จากความสนใจของ บริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกันแต่ Nokia ก็ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท เช่น กระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้ายาง, ยางรถยนต์) และสายเคเบิล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของ Nokia อีกด้วย


- ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ทาง Nokia เริ่มขยายธุรกิจของตัวเองอีกครั้งด้วยการก่อตั้งแผนกอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ซึ่งหลังจากการก่อตั้งในครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของ Nokia ในอนาคตอีกด้วย
- ปี ค.ศ. 1979 ทาง Nokia ได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการธุรกิจสื่อสารด้วยการก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Mobira ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง Nokia และบริษัทผู้ผลิตทีวีชั้นนำในยุคนั้นอย่าง Salora
![]() |
LOGO Nokia |
- ปี ค.ศ. 1981 เป็นจุดเริ่มต้นของทาง Nokia อย่างแท้จริงด้วยการเปิดตัวระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่มีชื่อว่า Nordic Mobile Telephone (NMT) ซึ่งถือว่าเป็นระบบโทรศัพท์ในยุคของ 1G (first-generation) บนย่านความถี่ 450MHz
- ปี ค.ศ. 1982 ทาง Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ตัวแรกที่นำมาประยุกต์ใช้บนรถยนต์ในชื่อรุ่น Mobira Senator และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังได้เปิดตัว Nokia DX200 ชุมสายโทรศัพท์แบบดิจิตอลและเป็นบริษัทแรกที่เริ่มต้นใช้อีกด้วย


- ปี ค.ศ. 1984 ทาง Nokia ยังคงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และได้เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นำมาประยุกต์ใช้บนรถยนต์รุ่นใหม่ในชื่อรุ่น Mobira Talkman

- ปี ค.ศ. 1987 Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่น Mobira Cityman ที่ชูจุดเด่นด้วยขนาดที่เล็กลงเป็นอย่างมาก จนสามารถถือได้ด้วยมือเดียว และมีน้ำหนักเพียง 800 กรัม ซึ่งมีราคาในการวางจำหน่ายขณะนั้นที่ 180,200 บาท (£3,400)

- ปี ค.ศ. 1991 นายกรัฐมนตรีประเทศฟินแลนด์ นามว่า "Harri Holkeri" ได้มีนโยบายให้สร้างมาตรฐานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือขึ้น ซึ่งเรารู้จักกันดีในชื่อ GSM ที่ย่อมาจาก Global System for Mobile Communications โดยระบบดังกล่าวถูกสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ของบริษัท Nokia อีกด้วย

- ปี ค.ศ. 1992 ทาง Nokia ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่รองรับคลื่น GSM ในชื่อรุ่น Nokia 1011 โดยประธานบริหารของ Nokia ในขณะนั้นอย่าง Jorma Ollila ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "เขาจะมุ่งเน้นพัฒนาโทรศัพท์มือถือและระบบการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นอีกเพื่ออนาคตอีกด้วย"

- ปี ค.ศ. 1994 ทาง Nokia ยังได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือซีรีย์ 2100 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมเสียงริงโทน Nokia Tune อีกทั้ง Nokia ยังตั้งเป้ายอดจำหน่ายของรุ่นนี้ไว้ที่ 400,000 เครื่องทั่วโลก แต่วางจำหน่ายจริงสามารถทำยอดขายได้มากถึง 20 ล้านเครื่องทั่วโลกอีกด้วย

- ปี ค.ศ. 1998 ทาง Nokia ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำระดับโลกในตลาดโทรศัพท์มือถือ
- ปี ค.ศ. 1999 Nokia ยังคงแสดงความเป็นผู้นำอยู่เช่นเดิม ด้วยการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่น Nokia 7110 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับคุณสมบัติการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ โดยการรองรับเทคโนโลยี Wireless Application Protocol (WAP)

- ปี ค.ศ. 2000 Nokia ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดโทรศัพท์มือถือด้วยการเปิดตัว Nokia 3310 ซึ่งถือเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งด้วยยอดขาย 126 ล้านเครื่องทั่วโลกอีกด้วย

- ปี ค.ศ. 2001 Nokia ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกล้องถ่ายรูป ในชื่อรุ่น Nokia 7650 ที่มีระบบปฏิบัติการ Symbian OS อีกด้วย และรุ่นดังกล่าวได้ถูกนำไปโปรโมทบนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างเรื่อง Minority Report

- ปี ค.ศ. 2002 Nokia ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รองรับการบันทึกวิดีโอได้ ในชื่อรุ่น Nokia 3650 และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่สามารถรองรับเทคโนโลยี 3G ในชื่อรุ่น Nokia 6650 เพื่อการใช้งานด้านความบันเทิงที่ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น


- ปี ค.ศ. 2003 Nokia ได้สร้างปรากฏการณ์บนโลกโทรศัพท์มือถืออีกครั้งด้วยการเปิดตัว Nokia N-GAGE ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Symbian 6.1 ที่รองรับการเล่นเกมส์เต็มรูปแบบ พร้อมด้วยฟังก์ชั่นด้านความบันเทิงที่ครบครัน

- ปี ค.ศ. 2004 Nokia ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์มือถือด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 35% แต่ทาง Nokia ยังคงพอใจแม้ว่าจะตั้งเป้าไว้ที่ 40% ก็ตาม
- ปี ค.ศ. 2005 Nokia สามารถจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ รุ่น Nokia 1100 ในประเทศไนจีเรียได้มากถึงหลักพันล้านเครื่อง และสามารถทำยอดจำหน่ายทั่วโลกแตะหลักสองพันล้านเครื่องด้วยเช่นกัน

- ปี ค.ศ. 2007 ทาง Nokia ได้เรียกคืนโทรศัพท์กว่า 46 ล้านเครื่องเนื่องจากพบว่าแบตเตอรี่อาจจะมีข้อผิดพลาด ซึ่งจังหวะนั้นคู่แข่งอย่าง Apple ได้ออกมาเปิดตัว iPhone พอดิบพอดี
- ปี ค.ศ. 2008 ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของ Nokia ทำได้ลดลง เนื่องจากในปีดังกล่าวในช่วงไตรมาสที่ 3 ทาง Nokia ทำได้เพียง 30% ซึ่งคิดเป็น 3.1% ของไตรมาสนี้ แต่ในขณะเดียวกันยอดจำหน่าย Apple iPhone มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 327.5% อีกด้วย
- ปี ค.ศ. 2009 Nokia ได้ประกาศปลดพนักงานจำนวน 1,700 อัตราทั่วโลกเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องมาจากยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบกว่าทศวรรษอีกด้วย
- ปี ค.ศ. 2010 ได้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่าง iPhone และ Android ทำให้อนาคตของบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia เริ่มสั่นคลอน โดยทาง Nokia ได้แต่งตั้งอดีต CEO ของทาง Microsoft นามว่า Stephen Elop เพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัท Nokia อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ดีทาง Nokia ยังคงมีแผนปลดพนักงานจำนวน 1,800 อัตรา แม้ว่าผลกำไรจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

- ปี ค.ศ. 2011 Stephen Elop ได้กล่าวเตือนพนักงานด้วยประโยคที่ว่า "พวกเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสงครามของแพลตฟอร์ม" และหลังจากนั้นทาง Nokia ได้ประกาศร่วมมือกับทาง Microsoft เพื่อเข้าชิงชัยสงครามแพลตฟอร์มกับทาง Apple และ Google Android อีกด้วย ต่อมาทาง Nokia ยังคงมีแผนปลดพนักงานอีกราว 4,000 อัตรา จากพนักงานทั่วโลกที่มีทั้งหมด 65,000 คน เนื่องจากตลาดของสมาร์ทโฟนถูกครอบงำโดย Samsung และ Apple ทำให้ยอดจำหน่ายของ Nokia ลดลงเป็นอย่างมาก
- ปี ค.ศ. 2012 ทาง Nokia ได้ปลดพนักงานอีกราว 4,000 อัตรา และย้ายโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนไปยังฝั่งเอเชีย และในปีเดียวกันนี้ทาง Nokia ยังประกาศปิดโรงงานผลิตในประเทศฟินแลนด์อีกด้วย

- ปี ค.ศ. 2013 Nokia ได้กลับมามีผลกำไรเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดชะงักมานานถึง 18 เดือน และต่อมาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งทาง Microsoft ประกาศเข้าซื้อส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ Nokia ด้วยมูลค่าสูงถึง 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

- และปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นปีของ Nokia ด้วยเช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงในตระกูล Lumia ไปแล้วมากมายหลายรุ่น และยังมีฟีเจอร์โฟนตระกูล Asha รวมถึงล่าสุดทาง Nokia ยังได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีย์ใหม่ที่รันบนระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform และในอนาคตทาง Nokia จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกบ้างหรือจะมีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มาเขย่าวงการอีกหรือไม่ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

Cr.
ทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ G, H+, E, 3G และ LTE
|
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android, iOS หรือ Windows Phone ก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่คุณเห็นแบบเดียวกันที่มุมขวาบนของหน้าจอ คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งบางครั้งก็ขึ้นเป็นตัว E บางครั้งเป็น 3G บางครั้งก็ขึ้นเป็นตัว H

ตัวอักษรเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงตัวอักษรธรรมดา โดยแต่ละตัวสามารถบอกได้ว่าเครือข่ายไร้สายที่คุณกำลังเชื่อมต่ออยู่ในขณะนั้นเป็นชนิดใด ซึ่งแต่ละแบบมีความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกันมาก มาดูกันว่ามีสัญลักษณ์แต่ละตัวหมายถึงอะไร

"LTE" - Long Term Evolution (4G)
เมื่อขึ้นสัญลักษณ์ LTE หมายถึงในขณะนั้นผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงในระดับ 4G ซึ่งในทางทฤษฎีมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 100Mb/s การเชื่อมต่อ 4G LTE ช่วยให้สามารถดาวน์โหลดวิดีโอสตรีมมิ่งที่มีความละเอียดสูงระดับ HD ได้อย่างรวดเร็ว แต่ 4G LTE ในประเทศไทยล่าสุด (เมษายน 2014) มีผู้ให้บริการเครือข่ายเพียงบางเจ้าเท่านั้นที่พร้อมให้บริการและยังมีพื้นที่ใช้งาน 4G LTE บางแห่งเท่านั้นในกรุงเทพฯ
แอลทีอี (LTE - Long Term Evolution) เป็นชื่อโครงการของระบบสื่อสารโทรศัพท์มือถือ 4G โดยมีเป้าหมายในการออกแบบให้สามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากขึ้นและเร็วขึ้น แอลทีอีได้มีการเปิดตัวในชื่อโทรศัพท์มือถือ 4G LTE โดยเทเลียโซเนรา ในสตอกโฮล์ม และ ออสโล ในวันที่ 14 ธันวาคม 2552 โดยพัฒนาเพิ่มเติมจากระบบยูเอ็มทีเอส ของระบบ 3G
4G LTE มีความสามารถดาวโหลดได้สูงถึง 100Mbps ความเร็วอับโหลด 50Mbps และปิงต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที โดยมีแบนด์วิทธ์อยู่ในช่วงระหว่างช่วง 1.4 เมกกะเฮิร์ตถึง 20 เมกกระเฮิร์ต
ในวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ทาง European Commission ได้ประกาศลงทุนเป็นจำนวนเงิน 18 ล้านยูโรในงานวิจัยและพัฒนา LTE Advanced.
วันที่ 1 มกราคม 2556 กสทช.ประกาศ เริ่มต้นเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ 4G หลังจาก กสทช.ได้ประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2100MHz เรียบร้อยแล้ว และผู้ประกอบการกำลังดำเนินการติดตั้งให้ใช้งานได้ตามเงื่อนไขใบอนุญาต เดือนกันยายน 2556 หลังจากคลื่นความถี่ 1800 MHz ของ DPC (800), DTAC (1800) และ Truemove (1800) ของ CAT หมดสัญญาสัมปทานลง กสทช. ยังไม่แน่ว่าจะได้รับความถี่คืนจาก CAT หรือไม่ หากได้ความถี่คืนจาก CAT จะสามารถนำมาจัดสรรคลื่นความถี่ 4G LTE ซึ่งคาดว่าจะออกใบอนุญาตได้ ภายในสิ้นปี 2556

ประเทศที่มีบริการ LTE เชิงพาณิชย์
ประเทศที่มีการใช้งานเครือข่าย LTE เชิงพาณิชย์ที่กำลังวางแผน
ประเทศที่มีระบบการพิจารณาคดี LTE (ก่อนมุ่งมั่น)
ประเทศที่มีการใช้งานเครือข่าย LTE เชิงพาณิชย์ที่กำลังวางแผน
ประเทศที่มีระบบการพิจารณาคดี LTE (ก่อนมุ่งมั่น)
"H+" - HSDPA Plus

HSDPA Plus เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 21Mb/s สัญลักษณ์ดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นที่รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สาย 3G HSDPA+ (ยกเว้นในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.4 KitKat จะแสดงเพียงสัญลักษณ์ "H" เท่านั้น แต่ถ้ารองรับ HSDPA+ และอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณไปถึงก็ใช้งานได้ตามปกติ)
HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) เป็นระบบเครือข่ายมือถือระบบ UMTS ซึ่งเป็นเครือข่ายมือถือรุ่นที่สาม (3G) ที่ถูกปรับปรุงสมรรถนะให้ดีขึ้น สำหรับตระกูล High-Speed Packet Access (HSPA) เช่น 3.5G, 3G+ or turbo 3G. HSDPA พัฒนาความเร็วในการดาวน์โหลด รองรับความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลถึง 1.8 เมกะบิตต่อวินาที, 3.6 เมกะบิตต่อวินาที, 7.2 เมกะบิตต่อวินาที และ 14.4 เมกะบิตต่อวินาที HSDPA มีความเร็วของการสื่อสารสูงกว่า EDGE ถึง 36 เท่า หรือเร็วกว่า GPRS ถึง 100 เท่า ความเร็วขนาดนี้ทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ เมื่อปี 2013 HSDPA สามารถเพิ่มความเร็วการดาวน์โหลดได้สูงถึง 42.3 Mbit/s
HSDPA ไม่ได้พัฒนาในส่วนของความเร็วการอัปโหลด การปรับปรุงความเร็วการอัปโหลดของ UMTS จะอยู่ในระบบ HSUPA เมื่อรวมความสามารถของ HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกัน จะเรียกโดยรวมว่า HSPA ซึ่ง HSPA+ เพิ่มความเร็วขึนไปถึง 337.5 Mbit/s ที่ Release 11 ของมาตรฐาน 3GPP
"H" - HSDPA (High Speed Downlink Packet Access)
HSDPA เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G รุ่นก่อนหน้าของ HSDPA+ โดยมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุด 7.2Mb/s ซึ่ง HSDPA ถูกนำไปใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการดาวน์โหลดวิดีโอสตรีมมิ่งความละเอียดสูงระดับ HD แต่อย่างไรก็ตามที่ความเร็วระดับนี้สามารถท่องเว็บไซต์และฟังเพลงสตรีมมิ่งได้เป็นอย่างดี
"3G" 3rd Generation (บางครั้งเรียกว่า UMTS)
3G เป็นเครือข่ายไร้สาย 3G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล 2Mb/s ซึ่งเป็นความเร็วที่เพียงพอสำหรับใช้งานวิดีโอคอลล์ และเป็นความเร็วที่ยังสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและอีเมล์ได้
"E" - EDGE (Enhanced Data Rates for GSM Evolution)
EDGE คือเครือข่ายไร้สาย 2.75G ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสุดสุด 384 kb/s มีความเร็วน้อยกว่า 3G และยังอยู่ในโครงข่าย GSM (2G) ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในยุคแรกๆ ที่มือถือสามารถใช้งาน Mobile Internet ได้ ปัจจุบัน EDGE ก็ยังเปิดใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณ 3G ส่งไปไม่ถึงหรือติดเงื่อนไข-ข้อจำกัดของผู้ให้บริการ
"G" - GPRS (General Packet Radio Service)
GPRS เป็นเครือข่ายไร้สาย 2.5G ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุด 115kb/s ซึ่งเพียงพอสำหรับการดาวน์โหลดหน้าเว็บไซต์ที่ไม่มีรายละเอียดเยอะมากนัก เช่น ตารางเวลาการเดินรถไฟ (การดาวน์โหลดผ่าน GPRS จะค่อนข้างช้าและใช้เวลานาน) GPRS ถือเป็นเครือข่ายไร้สายที่ให้บริการด้านข้อมูล (Mobile Internet) ที่เก่าแก่ที่สุด

ตารางสรุปสัญลักษณ์และความหมาย

สรุปง่ายๆ "LTE เร็วสุด โดยมี H+ รองลงมา และ G ช้าที่สุด"
ทำความรู้จักหน้าจอทีวีระดับ 4K
|
Cr.
รู้หรือไม่? มือถือถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อไร?
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)